โวหารภาพพจน์
วัตถุประสงค์
1. เพื่อให้นักเรียนเข้าใจและสามารถบอกโวหารภาพพจน์จากบทประพันธ์ต่างๆได้
โวหาร คือ การใช้ถ้อยคำอย่างมีชั้นเชิง เป็นการแสดงข้อความออกมาในทำนองต่างๆ เพื่อให้ข้อความได้เนื้อความดี มีความหมายแจ่มแจ้ง เหมาะสมน่าฟัง ในการเขียนเรื่องราวอาจใช้โวหารต่างๆ กัน แล้วแต่ชนิดของ
ประเภทของโวหารภาพพจน์
๑. อุปมาโวหาร (Simile) อุปมา คือ การเปรียบเทียบว่าสิ่งหนึ่งเหมือนกับสิ่งหนึ่งโดยใช้คำเชื่อมที่มีความหมายเช่นเดียวกับคำว่า “ เหมือน ” เช่น ดุจ ดั่ง ราว ราวกับ เปรียบ ประดุจ เฉก เล่ห์ ปาน ประหนึ่ง เพียง เพี้ยง พ่าง ปูน ถนัด หม้าย เสมอ ฯลฯ
ตัวอย่าง เช่น ปัญญาประดุจดังอาวุธ
จมูกเหมือนลูกชมพู่
ใบหูเหมือนทอดมันร้อนๆ
๒. อุปลักษณ์ ( Metaphor ) อุปลักษณ์ ก็คล้ายกับอุปมาโวหารคือเป็นการเปรียบเทียบเหมือนกัน แต่เป็นการเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง การเปรียบเทียบสิ่งหนึ่งเป็นอีกสิ่งหนึ่ง อุปลักษณ์จะไม่กล่าวโดยตรงเหมือนอุปมา แต่ใช้วิธีกล่าวเป็นนัยให้เข้าใจเอาเอง ที่สำคัญอุปลักษณ์จะไม่มีคำเชื่อมเหมือนอุปมา
ตัวอย่าง เช่น ขอเป็นเกือกทองรองบาทา ไปจนกว่าชีวันจะบรรลัย
เธอเป็นดินหรือเธอเป็นหญ้าแท้จริงมีค่ากว่าใครนิรันดร์
ชาวนาเป็นกระดูกสันหลังของชาติ
๓. สัญลักษณ์ ( symbol ) สัญลักษณ์ เป็นการเรียกชื่อสิ่งๆหนึ่งโดยใช้คำอื่นมาแทน ไม่เรียกตรงๆ ส่วนใหญ่คำที่นำมาแทนจะเป็นคำที่เกิดจากการเปรียบเทียบและตีความ ซึ่งใช้กันมานานจนเป็นที่เข้าใจและรู้จักกันโดยทั่วไป ทั้งนี้อาจเป็นเพราะผู้ประพันธ์ต้องการเปรียบเทียบเพื่อสร้างภาพพจน์หรือมิฉะนั้นก็อาจจะอยู่ในภาวะที่กล่าวโดยตรงไม่ได้ เพราะไม่สมควรจึงต้องใช้สัญลักษณ์แทน
ตัวอย่าง เช่น เมฆหมอก แทน อุปสรรค
สีดำ แทน ความตาย ความชั่วร้าย
สีขาว แทน ความบริสุทธิ์
กุหลาบแดง แทน ความรัก
หงส์ แทน คนชั้นสูง
กา แทน คนต่ำต้อย
ดอกไม้ แทน ผู้หญิง
แสงสว่าง แทน สติปัญญา
๔ . บุคลาธิษฐาน ( Personification ) บุคลาธิษฐาน หรือ บุคคลวัต บุคคลสมมติ คือการกล่าวถึงสิ่งต่างๆ ที่ไม่มีชีวิต ไม่มีความคิด ไม่มีวิญญาณ เช่น โต๊ะ เก้าอี้ อิฐ ปูน หรือสิ่งมีชีวิตที่ไม่ใช่มนุษย์ เช่น ต้นไม้ สัตว์ โดยให้สิ่งต่างๆเหล่านี้ แสดงกิริยาอาการและความรู้สึกได้เหมือนมนุษย์ ให้มีคุณลักษณะต่างๆ เหมือนสิ่งมีชีวิต
ตัวอย่าง เช่น ไส้เดือนเที่ยวเกี้ยวสาว ชาวอัปสรนอนชั้นฟ้า
ทุกจุลินทรีย์อะมีบา เชิดหน้าได้ดิบได้ดี
๕. อธิพจน์ ( Hyperbole ) พจน์ หรือ อธิพจน์ คือโวหารที่กล่าวเกินความจริง เพื่อสร้างและเน้นความรู้สึกและอารมณ์ ทำให้ผู้ฟังเกิดความรู้สึกที่ลึกซึ้ง ภาพพจน์ชนิดนี้นิยมใช้กันมากแม้ในภาษาพูด เพราะเป็นการกล่าวที่ทำให้เห็นภาพได้ง่ายและแสดงความรู้สึกของกวีได้อย่างชัดเจน
ตัวอย่าง เช่น คิดถึงใจจะขาด
หนาวกระดูกจะหลุด
การบินไทยรักคุณเท่าฟ้า
คิดถึงเธอทุกลมหายใจเข้าออก
๖. สัทพจน์( Onematoboeia ) สัทพจน์ หมายถึง ภาพพจน์ที่เลียนเสียงธรรมชาติ เช่น เสียงดนตรี เสียงสัตว์ เสียงคลื่น เสียงลม เสียงฝนตก เสียงน้ำไหล ฯลฯ การใช้ภาพพจน์ประเภทนี้จะทำให้เหมือนได้ยินเสียงนั้นจริง ๆ
ตัวอย่าง เช่น ลูกหมาร้องบ๊อก ๆ ๆ
ลูกนกร้องจิ๊บๆๆ
ลูกแมวร้องเหมียว ๆ ๆ
๗. นามนัย ( Metonymy ) นามนัย คือ การใช้คำหรือวลีซึ่งบ่งลักษณะหรือคุณสมบัติของสิ่งใดสิ่งหนึ่งแทนอีกสิ่งหนึ่ง คล้ายๆ สัญลักษณ์ แต่ต่างกันตรงที่ นามนัยนั้นจะดึงเอาลักษณะบางส่วนของสิ่งหนึ่งมากล่าวให้หมายถึงส่วนทั้งหมด หรือใช้ชื่อส่วนประกอบสำคัญของสิ่งนั้นแทนสิ่งนั้นทั้งหมด
ตัวอย่าง เช่น เมืองโอ่ง คือ จังหวัดราชบุรี
เมืองย่าโม คือ จังหวัดนครราชสีมา
ทีมเสือเหลือง คือ ทีมมาเลเซีย
ทีมกังหันลม คือ ทีมเนเธอร์แลนด์
ทีมสิงโตคำราม คือ อังกฤษ
เก้าอี้ คือ ตำแหน่ง หน้าที่
มือที่สาม คือ ผู้ก่อความเดือดร้อน
๘. ปรพากย์ ( Paradox ) ปฏิพากย์ หรือ ปรพากย์ คือการใช้ถ้อยคำที่มีความหมายตรงกันข้ามหรือขัดแย้งกันมากล่าว อย่างกลมกลืนกันเพื่อเพิ่มความหมายให้มีน้ำหนักมากยิ่งขึ้น
ตัวอย่าง เช่น เลวบริสุทธิ์
บาปบริสุทธิ์
สวยเป็นบ้า
สวยอย่างร้ายกาจ
๙. วิภาษ (Oxymoron) การเปรียบเทียบความขัดแย้ง หรือสิ่งที่ตรงข้ามกันนำมาจับเข้าคู่กัน เช่น กากับหงส์ ดินกับฟ้า มืดกับสว่าง ดังตัวอย่าง
ตัวอย่างเช่น ความมืดแผ่รอบกว้างสว่างหลบ
รอบใจพลบแพ้พ่ายสลายขวัญ
ชวนกำสรดซบหน้าซ่อนจาบัลย์
วะหวิวหวั่นหวาดหวังว่ายังคอย
๑๐. อรรถวิภาษ (Paradox) คือ การเปรียบเทียบการใช้คำที่ดูเหมือนจะขัดแย้งกันแต่เมื่อพิจารณาความหมายลึกซึ้งโดยแท้จริงแล้วอาจเข้ากันได้ หรือนำมาเข้าคู่กันได้อย่างกลมกลืน
ตัวอย่าง เช่น เปลวควันเทียนริบหรี่กลับมีแสง เกิดจากแรงตั้งจิตอธิษฐาน
ดวงตาจึงมองเห็นธรรมสืบตำนาน ดวงใจจึงเบิกบานแต่นั้นมา
ริบหรี่ กับ แสง มีความหมายตรงข้ามกันสิ้นเชิง ครั้นเมื่ออยู่ในประโยคเดียวกันก็มีเนื้อความเรื่องเดียวกัน
๑๑. อธินามนัย (Metonymy) คือ การเปรียบเทียบ โดยจาระไนของหลาย ๆ อย่างที่มีลักษณะเหมือนกันหรือคล้ายคลึงกันมากล่าวนำ และสรุปความหมายรวม คือใช้ชื่อเรียกรวม ๆ แทนสิ่งใดสิ่งหนึ่ง หรือบุคคลกลุ่มใดกลุ่มหนึ่ง หรือคนใดคนหนึ่ง
ตัวอย่างเช่น เลือดสุพรรณวันก่อนเคยร้อนรุ่ม หลั่งลงรุ่มฉาบดินทุกถิ่นฐาน
เย็นเป็นสุขทุกประการ เพราะไทยหาญหวงถิ่นไว้ให้ไทยเอย
(คำว่าไทย ในบทกลอนข้างต้น หมายถึง เฉพาะชาวไทย มิได้หมายถึงประเทศไทยหรือเชื้อชาติหรือสัญชาติแต่อย่างใด จึงเรียก อธินามนัย ส่วน ไทย คำหลังหมายถึงประเทศไทย)
๑๒. อุปมานิทัศน์ คือการเปรียบเทียบโดยยกเรื่องราวหรือนิทานมาประกอบ ขยาย หรือแนะโดยนัยให้ผู้อ่านผู้ฟังเข้าใจแนวความคิด หลักธรรม หรือความประพฤติที่สมควรได้แจ่มแจ้งยิ่งขึ้น
ตัวอย่างเช่น นิทานเรื่อง คนตาบอดคลำช้าง เป็นอุปมานิทัศน์ชี้ให้เห็นว่า คนที่มีประสบการณ์ หรือภูมิหลังต่างกันย่อมมีความสามารถในการรับ
รู้ความเชื่อและทัศนคติต่างกันโคลงโลกนิติบทที่ว่าด้วย หนูท้ารบราชสีห์ เป็นอุปมานิทัศน์ แสดงให้เห็นว่า คนโง่หรือคนพาลที่
ด้อยทั้งกำลังกายและกำลังปัญญาบังอาจขมขู่ท้าทายผู้มีกำลังเหนือว่าตนทุกด้านแต่ผู้ที่ถูกท้ากลับเห็นว่า ถ้าตนลดตัวลงไป
เกี่ยวข้องด้วยเท่ากับเอาพิมเสนไปแลกเกลือ จึงหลีกเลี่ยงเสีย ปล่อยให้คนโง่ซึ่งมีความอหังการนั้นพ่ายแพ้แก่ตนเอง
๑๓. คำไวพจน์ คือ คำที่มีความหมายเหมือนกัน แต่ใช้ในบริบทต่างๆกัน
ตัวอย่างเช่น กิน – รับประทาน เขมือบ หม่ำ ฉัน
ดอกบัว – โกมุท โกมล ปทุม
ชัยชาญ
กรกฎาคม 15, 2013 at 6:40 pm
โวหารบางอย่างคล้ายกันมาก แต่ก็มีข้อแตกต่างที่เราจะต้องสังเกตและแยกให้ได้
ruangrat
กรกฎาคม 15, 2013 at 7:40 pm
ใช่แล้วค่ะ ข้อสอบมักออกบ่อยๆ ทำข้อสอบมากๆเราจะได้แยกโวหารได้ง่าย
BEAM
กรกฎาคม 16, 2013 at 9:29 pm
ขอบคุณสำหรับข้อมูล มากกก ชอบบบบ เป็นประโยคมากมายเลยย เพราะ กำลังทำรายงานเกี่ยวกับเรื่อง โวหารภาพพจน์ พอดีเลยยย ขอบคุณมากครับ ^____^ และใช้เรื่องนี้เรียนในห้องพอดีเลย เพราะครู ในห้องอธิบายไม่ค่อยเข้าใจ พออ่านนี้เข้าใจเยอะขึ้นเลยย
kruozone
กรกฎาคม 16, 2013 at 10:00 pm
เป็นการวางเนื้อหาได้ครบครัน นักเรียนสามารถ ศึกษาหาความรู้เอง ดีจริงๆ คับ